5 ที่เที่ยวอิสตันบูล สองฝั่งยุโรปและเอเชีย คุ้มค่าที่ไปเยือน

กำลังมองหาที่เที่ยวอิสตันบูล? อิสตันบูลเป็นมหานครสองทวีประหว่างยุโรปและเอเชียขั้นกลางด้วยช่องแคบบอสพอรัส สถานที่ทางประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มาจากจักรวรรดิไบแซนไทน์และจักรวรรดิออตโตมัน โดยเฉพาะมัสยิดบลูและฮาเกียโซเฟีย ที่ยังคงสะท้อนเรื่องราวเหล่านี้ได้ดี ที่เที่ยวอิสตันบูล แบ่งออกเป็นหลายโซน เช่น โซนเมืองเก่า ‘สุลต่านอาห์เหม็ด’ (Sultanahmet) รวมพิพิธภัณฑ์มัสยิดและพระราชวัง โซนท่าเรือ ‘Eminönü’ ย่านสมัยใหม่สุดคึกคัก ‘คาราคอย’ (Karaköy) ย่านทักซิมสแควร์ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงย่านฝั่งเอเชีย ‘อึสคือดาร์’ (Üsküdar) และ ‘คาดิคอย’ (Kadıköy) ทั้งหมดนี้เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ บทความนี้จะมาพูดถึงรายละเอียดของ ที่เที่ยวอิสตันบูล ในย่านต่าง ๆ เหล่านั้นกัน พร้อมวิธีการเดินทาง ที่จะพาคุณพาไปสัมผัสเสน่ห์ที่แตกต่างของเมืองสองวัฒนธรรมพร้อม ๆ กัน

ฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia) ที่เที่ยวอิสตันบูล
ฮาเกียโซเฟีย หรือมหาวิหารเซนต์โซเฟีย (ภาษาตุรกี: Ayasofya) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาที่มีความสวยงามในเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่ที่ย่านเมืองเก่าทางฝั่งยุโรปตะวันตกตรงข้ามกับจัตุรัสสุลต่านอาเหม็ด ที่นี่เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่ของโลก ตัวอาคารมีสถาปัตยกรรมที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาในหลายศตวรรษที่ผ่านมา รวมไปถึงภาพโมเสกพระจักรพรรดินีโซอีที่ยังคงเห็นได้ภายในตัวอาคารจนถึงปัจจุบัน

ในอดีตนั้นฮาเกียโซเฟียถูกสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 537 ในสมัยพระจักรพรรดิจัสติเนียน เพื่อเป็นโบสถ์คริสต์ไบแซนไทน์ ต่อมาหลังการล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ. 1453 มหาวิหารแห่งนี้ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นมัสยิด ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1935 ได้ถูกเปลี่ยนถ่ายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ภายใต้ชื่อ ‘Hagia Sophia Museum’ หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 2020 จนถึงปัจจุบันฮาเกียโซเฟียได้ถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นสุเหร่าทางศาสนาอีกครั้ง

นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมสถานที่แห่งนี้ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเข้าชม สำหรับผู้เข้าชมสุภาพสตรีควรเตรียมผ้าคลุมหัวและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ปกปิดไหล่และขา ด้านในอาคารปูด้วยพรมต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าชม (มีตู้ขนาดเล็กสำหรับวางรองเท้า) ในช่วงเวลาละหมาดเรามักจะเห็นผู้คนหนาแน่นในสถานที่แห่งนี้ ทางสุเหร่าอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในช่วงเวลาดังกล่าวได้ แต่ต้องอยู่ในพื้นที่ที่จัดไว้ให้ไม่ไปรบกวนการทำละหมาด (ยกเว้นการทำละหมาดใหญ่ในวันศุกร์)

มัสยิดสุลต่านอาเหม็ด (Sultan Ahmed Mosque)
มัสยิดสุลต่านอาเหม็ด หรือสุเหร่าสุลต่านอาห์เหม็ด (ภาษาตุรกี: Sultan Ahmet Camii) เป็นแลนด์มาร์คทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของอิสตันบูลและรู้จักกันดีในชื่อ ‘มัสยิดสีน้ำเงิน’ (Blue Mosque) เนื่องจากผนังด้านในตกแต่งรอบล้อมด้วยกระเบื้องเคลือบสีฟ้าและหินอ่อนแกะสลักอย่างปราณีต ที่นี่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับฮาเกียโซเฟีย สถาปัตยกรรมที่ใช้ในการออกแบบจึงมีความใกล้เคียงกัน

มัสยิดสุลต่านอาเหม็ดถูกสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 1609 และ ค.ศ. 1616 โดยซูลตันอาห์เมท 1 กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิออตโตมัน ประกอบไปด้วย 5 โดม หอคอย และ 8 โดมรอง ด้านในอาคารประดับด้วยงานแฮนด์เมดมากกว่า 20,000 ชิ้น รวมไปถึงหน้าต่างกระจกสีมากกว่า 200 บานที่รับกับแสงธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ความสวยงามของมัสยิดสุลต่านอาเหม็ดยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะในตอนกลางคืนยังมีการเปิดไฟประดับสีฟ้าส่องสว่างสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ใครที่มีเวลาเหลือเราขอแนะนำให้เดินไปเที่ยวที่นี่ในช่วงพลบค่ำเช่นกัน

น่าเสียดายช่วงที่เราไป (กุมภาพันธ์ 2022) ด้านในมัสยิดส่วนใหญ่มีการปรับปรุง ผนังถูกปิดด้วยผ้าคลุมเกือบทั้งหมดทำให้มองไม่เห็นโดมหลักทั้ง 4 โดม ยกเว้นโดมหลักตรงกลางที่มองขึ้นไปยังเห็นอยู่ ในช่วงที่มีการทำละหมาด 5 ครั้งต่อวันมัสยิดจะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม (โดยเฉพาะการทำละหมาดใหญ่ในวันศุกร์ที่ใช้เวลานานมากกว่าปกติ) ควรเช็คเวลาให้แน่ใจก่อน ที่ประตูทางเข้ายังมีป้ายบอกช่วงเวลาที่จะทำละหมาดและช่วงเวลาที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม

ผู้เข้าชมสุภาพสตรีควรเตรียมผ้าคลุมหัวและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ปกปิดไหล่และขา ถ้าไม่ได้เตรียมมาทางมัสยิดมีผ้าคลุมให้ที่หน้าประตูทางเข้า ผู้เข้าชมชายควรสวมกางเกงที่คลุมเข่า และต้องถอดรองเท้าในการเข้าชมเนื่องจากพื้นปูด้วยพรม (มีถุงพลาสติกฟรีให้ใส่รองเท้า)

จัตุรัสสุลต่านอาห์เมต (Sultanahmet Square)
จัตุรัสสุลต่านอาห์เมต (ภาษาตุรกี: Sultanahmet Meydanı) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘ฮิปโปโดรม’ (Hippodrome) ในอดีตใช้เป็นสนามแข่งม้าซึ่งเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมในยุคเฮล เลนิสติกโรมัน และไบแซนไทน์ ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่า รอบพื้นที่จัตุรัสสุลต่านอาห์เมตคุณจะพบกับสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น ฮาเกียโซเฟียที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับมัสยิดบลูขั้นกลางด้วยลานน้ำพุสุลต่านอาห์เมต อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทัน เสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุส น้ำพุเยอรมัน เสาพญานาค และเสาโอเบลิสก์วอลล์ ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ใกล้กันถ้ามาเยี่ยมชมแล้วได้เห็นครบทุกอย่างแน่นอน

เสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุส (Obelisk of Theodosius)
เสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุส (ภาษาตุรกี: Dikilitaş) เป็นเสาอียิปต์โบราณสร้างขึ้นในฮิปโปโดรมโดยฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 (Thutmose III) ช่วง 1479–1425 ปีก่อนคริสตกาล ถ้านับรวมปัจจุบันเสานี้ตั้งมานานแล้วถึง 3,000 ปี เสาโอเบลิสก์แห่งโธโดสิอุสใช้หินแกรนิตสีแดงจากอัสวานเมืองหลวงทางตอนใต้ของอียิปต์ แต่เดิมมีความสูง 30 เมตร แต่สันนิษฐานจากร่องรองรอยของตัวฐานว่าอาจได้รับความเสียหายระหว่างการขนส่งหรือก่อสร้างใหม่ทำให้ความสูงรวมฐานปัจจุบันเหลือเพียง 25.6 เมตรเท่านั้น ทั้งสี่ด้านของเสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุสมีแผ่นจารึก ส่วนแท่นหินอ่อนบริเวณฐานทั้งสี่ด้านมีภาพนูนต่ำที่สื่อถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในกรุงคอนสแตนติโนเปิล เช่น มงกุฎแห่งชัยชนะแก่ผู้ชนะในการแข่งรถม้า

น้ำพุเยอรมัน (German Fountain)
น้ำพุเยอรมัน (ภาษาตุรกี: Alman Çeşmesi) เป็นโดมทรงแปดเหลี่ยมมีหลังคาปกคลุมด้วยสถาปัตยกรรมแบบสไตล์นีโอไบแซนไทน์ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของฮิปโปโดรมตรงข้ามกับสุสานของสุลต่านอาเหม็ดที่ 1 สร้างขึ้นในประเทศเยอรมนีเพื่อเป็นของขวัญเฉลิมฉลองวันครบรอบปีที่สองของการเสด็จเยือนอิสตันบูลของจักรพรรดิเยอรมันวิลเฮล์มที่ 2 ในปี พ.ศ. 2441 น้ำพุเยอรมันได้รับการขนส่งทางเรือและนำมาประกอบตามขนาดปัจจุบันในปี พ.ศ. 2443 มีเสาทั้งหมดแปดต้น ภายในโดมประดับด้วยหินอ่อนและปูด้วยกระเบื้องโมเสคสีทอง ถ้าเดินมาที่ฮิปโปโดรมจากลานน้ำพุสุลต่านอาห์เมตจะเห็นน้ำพุนี้ตั้งอยู่หน้าทางเข้า

เสาพญานาค (Serpent Column)
เสาพญานาค (ภาษาตุรกี : Yılanlı Sütun) เป็นเสาทองแดงโบราณตั้งอยู่ที่ฮิปโปโดรมถัดจากเสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุส สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงชาวกรีกที่ต่อสู้และเอาชนะจักรวรรดิเปอร์เซียในยุทธการพลาตาช่วงศตวรรษที่ห้าก่อนคริสต์ศักราช ลักษณะของเสาเป็นร่างของตัวงูใหญ่สามตัวบิดเกลียวแน่น เว้นช่วงหัวที่ถูกทำให้เหมือนขาตั้งเครื่องบูชา มีความสูงจากพื้นดินประมาณ 8 เมตร ปลายศตวรรษที่ 17 ส่วนของหัวงูทั้งสามถูกทำลาย เหลือเพียงเสาที่เราเห็นในปัจจุบัน ส่วนกรามบนของศีรษะข้างหนึ่งของงูได้รับการฟื้นฟูและจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล

เสาโอเบลิสก์วอลล์ (Walled Obelisk)
เสาโอเบลิสก์วอลล์ (ภาษาตุรกี: Örme Dikilitaş) เป็นเสาหินตัวสุดท้ายที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของฮิปโปโดรมถัดจากเสาพญานาค ถูกสร้างขึ้นเพื่อประกาศถึงชัยชนะของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ บาซิลที่ 1 มีลักษณะเป็นเสาสี่เหลี่ยมความสูง 32 เมตร ปลายเสาเดิมถูกปกคลุมด้วยแผ่นโลหะทองสัมฤทธิ์ แต่ถูกทำลายโดยกองทหารลาตินในสงครามครูเสดครั้งที่สี่ เหลือเพียงเสาที่เราเห็นในปัจจุบันและถูกล้อมรอบด้วยกำแพง

อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทัน (Basilica Cistern)
อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทัน (ภาษาตุรกี: Yerebatan Sarnici) เป็นอ่างเก็บน้ำโบราณใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าใกล้กับมัสยิดสีน้ำเงินและฮาเกียโซเฟีย สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 6 สมัยของจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 แห่งไบแซนไทน์ พื้นที่ด้านในเป็นห้องใต้ดินขนาดประมาณ 138 เมตร ประดับด้วยเสาหินอ่อน 12 แถวรวมจำนวน 28 เสา โดยแต่ละเสาห่างกัน 5 เมตร ที่นี่สามารถจุน้ำได้มากถึง 80,000 ลูกบาศก์เมตร ในอดีตใช้เป็นระบบกรองน้ำให้กับพระราชวังใหญ่แห่งคอนสแตนติโนเปิลและพระราชวังโทพกาปึ ปัจจุบันมีน้ำขังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมโดยสามารถเดินลงไปได้ผ่านบันไดห้าสิบสองขั้น ที่นี่ยังเคยเป็นฉากหนึ่งของการถ่ายทำภาพยนตร์ ‘1963 James Bond’ อีกด้วย

น่าเสียดายช่วงที่เราไป (กุมภาพันธ์ 2022) อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทันมีการปิดปรับปรุงชั่วคราวทำให้ไม่สามารถเข้าชมได้ เราจึงได้แต่เก็บภาพจากภายนอกเท่านั้น ส่วนใครที่ไปแถวย่านนี้แนะนำให้เข้าชมสักครั้ง หลังการปรับปรุงอาจจะมีอะไรเปลี่ยนไปอีก ยังไงก็ติดตามข่าวสารและช่วงเวลาแน่นอนที่จะกลับมาอีกครั้งได้จากเว็บไซต์ทางการนะคะ

พระราชวังโทพคาปึ (Topkapı Palace) ที่เที่ยวอิสตันบูล
พระราชวังโทพคาปึ (ภาษาตุรกี: Topkapı Sarayı) เป็นพิพิธภัณฑ์พระราชวังขนาดใหญ่ของเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ทางด้านหลังฮาเกียโซเฟียสามารถเดินไปได้เพียง 3 นาที ที่นี่เคยเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำงานหลักของสุลต่านออตโตมันในช่วงในศตวรรษที่ 15 และ 16 ด้านในพระราชวังประกอบด้วยลานหลักสี่แห่งและอาคารขนาดเล็กจำนวนมาก มีพื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 7,535,000 ตารางฟุต เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในอิสตันบูลที่ห้ามพลาดต้องเข้าชม

ลานหลักสี่แห่งในพระราชวังโทพคาปึ
ลานแรก (Alay Square) เข้าถึงได้โดยใช้ประตูหลักที่ชื่อว่าประตูอิมพีเรียล (ประตูสุลต่าน) ด้านหน้ามีทหารยืนถือปืนเฝ้าประตู เมื่อเดินเข้ามาต้องวางกระเป๋าเข้าเครื่องสแกนและเดินผ่านเครื่องสแกนเข้าไปด้านใน ตรงนี้ยังไม่ต้องใช้ตั๋วเข้าชม เมื่อเดินผ่านมาแล้วจะมองเห็นลานแรกซึ่งล้อมด้วยกำแพงสูง ทำหน้าที่เป็นเขตสวนสาธารณะด้านนอก เราสามารถมองเห็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ เช่น โรงกษาปณ์ของจักรวรรดิในอดีต โบสถ์ไบแซนไทน์ ‘Hagia Irene’ ร้านเบเกอรี่ โรงพยาบาล โกดังไม้ และบ้านของช่างจักสาร
ลานที่สอง (Divan Square) เข้าถึงโดยใช้ประตูที่สอง ตรงนี้มีเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ต้องซื้อตั๋วเข้าชมก่อน ใครที่มีบัตรมิวเซียมพาสอิสตันบูลก็ใช้เข้าชมได้เลย หรือถ้าใครอยากซื้อบัตรนี้ก็ซื้อที่นี่ได้เช่นกัน จากนั้นสแกนตั๋วเข้าชมกับเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ พอเข้ามาถึงตรงนี้แล้วเราจะพบกับลานที่สองมีทางเดินไปยังประตูที่สาม ถ้าใครยังไม่อยากเข้าไปเลยก็สามารถเดินชมสถานที่ต่าง ๆ ในลานที่สองก่อนได้ เช่น ห้องสภาจักรวรรดิ ห้องเก็บคลังอาวุธ ห้องครัวและห้องเก็บของขวัญและเครื่องเงิน
ลานที่สาม (Enderun Courtyard) ที่นี่เป็นไฮไลท์ของพระราชวังโทพคาปึเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นวังชั้นในซึ่งเป็นหัวใจของพระราชวัง ประกอบไปด้วยห้องบัลลังก์ของจักรพรรดิที่ปกคลุมด้วยผ้าทองคำและอัญมนีหลายชนิด ห้องสมุด มัสยิดขนาดเล็ก ห้ององคมนตรี รวมไปถึงฮาเร็มส่วนตัวของสุลต่าน ซึ่งเป็นที่พำนักของมารดา มเหสีและนางสนมของสุลต่าน
ลานที่สี่ (Fourth courtyard) หรือที่รู้จักในชื่อโซฟาอิมพีเรียล เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ส่วนตัวที่อยู่ด้านในสุดของพระราชวัง ประกอบไปด้วยห้องขลิบทางศาสนา สวนหย่อม ระเบียงน้ำพุ รวมไปถึงศาลา Baghdad, Revan Pavilions, และ Iftaree Gazebo ซึ่งเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นความก้าวหน้าของสถาปัตยกรรมออตโตมันคลาสสิก ด้านหน้ามีระเบียงหินอ่อนสามารถมองเห็นวิวที่สวยงามของทางน้ำ ‘Golden Horn’ ของเมืองอิสตันบูล ใครหลายคนอาจจะเห็นภาพมุมนี้บ่อย ๆ จากโลกออนไลน์
การเข้าชมพระราชวังโทพคาปึควรให้เผื่อเวลาไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ช่วงเวลาที่แนะนำคือ 09:00 – 11:00 น. หรือหลัง 15:00 น. ด้านในมีสถานที่ให้เลือกชมหลากหลาย ไม่จำเป็นว่าต้องเดินชมจากลานที่สองก่อน แต่สามารถเดินไปยังลานที่สาม หรือลานที่สี่แล้วย้อนกลับมายังลานที่สองก็ได้ สถานที่ภายในบางแห่งไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ เราจึงถ่ายภาพมาได้แค่ภายนอกบางส่วนเท่านั้น

ถ้าเปรียบเทียบที่นี่กับพระราชวังโดลมาบาห์เช (Dolmabahçe Palace) เราว่าโดดเด่นคนละแบบ โดยส่วนตัวชอบพระราชวังโดลมาบาห์เชมากกว่า เพราะมีสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก อยู่ติดกับแม่น้ำด้วย แต่ที่นี่เรามีบัตร Museum Pass Istanbul ใช้เข้าชมได้ฟรี และที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากฮาเกียโซเฟีย มาที่นี่แล้วได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติของสุลต่านและเห็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์หลายแห่งนับว่าคุ้มกับค่าตั๋ว ถ้าให้เลือกเข้าที่ใดที่หนึ่งเราคิดว่าควรเข้าชมทั้งสองที่เลย ไหน ๆ ก็มาแล้ว