พระราชวังทอปกาปี Topkapi Palace

พระราชวังทอปกาปี Topkapi Palace

พระราชวังทอปกาปี(Topkapi Palace) สร้างโดยสุลต่านเมห์เมดที่ 2 หลังจากพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ในปี 1996 ทรงตัดสินใจสร้างพระราชวังบนเนินเขาลูกที่ 3 ใน 7เนินของเมืองนี้ ทรงประทับเพียงไม่นาน ก็ย้ายไปสร้างใหม่บนเดินเขาลูกที่ 1 โดยสร้างกำแพงขนาดใหญ่ตามแนวชายทะเลนับตั้งแต่ทะเลมาร์มาราเรื่อยไปจนถึงโกลเดนฮอร์น เพื่อเป็นป้อมปราการกันข้าศึกจากทะเล ตามแนวกำแพงมีประตูมีป้อมปืนอยู่เป็นที่ตั้งของปืนใหญ่ 2 กระบอก ที่เตรียมพร้อมจะยิงเรือทุกลำที่เข้ามารุกล้ำในรัศมี เรียกว่าประตูปืนใหญ่ ในภาษาเติร์กเรียกว่า ทอปกาปี (Topkapi) แปลว่าประตูปืนใหญ่

พระราชวังแห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ


• พระราชวังชั้นนอก (Outer Palace) หรือบีรูน (Birun) เป็นสถานที่ออกว่าราชการ ต้อนรับแขกเมือง โรงครัว อุทยาน สวนดอกไม้ เป็นต้น
• พระราชวังชั้นใน (Inner Palace) หรือเอนเดรูน (Enderun) เป็นสถานที่ต้องห้าม ผู้ชายห้ามเข้า เป็นที่พำนักมเหสี เหล่าสนม นางใน และลูกหลานของสุลต่าน
• ฮาเร็ม (Harem) หรือส่วนที่พักอาศัยของผู้หญิง ซึ่งมาในฐานะเครื่องบรรณาการที่ถวายแด่สุลต่าน บ้างก็มาในฐานะเชลยศึกที่ถูกกวาดต้อนมา บ้างก็มาจากตลาดค้าทาสที่หัวหน้าขันทีไปซื้อมา ว่ากันว่าผู้หญิงจากเทือกเขาสูคอเคซัสจัดว่าสวยและมีคุณภาพดีที่สุด ผู้หญิงที่เข้ามาอยู่ในฮาเร็มแล้วจะไม่สามารถออกไปข้างนอกได้อีกเลยตลอดชีวิต พวกเธอเหล่านี้จะได้รับการฝึกอบรมความสามารถด้านต่างๆ เช่น การเต้นรำ การร้องเพลง เล่นดนตรี การเอาใจสุลต่านต่างๆที่จะส่งผลให้เธอเหล่านี้มีโอกาสก้าวสู่จุดสูงสุดของชีวิต เพียงแต่ทำให้สุลต่านพึงพอใจและมีลูกชายกับเธอให้ได้ ก็จะได้เลื่อนฐานะเป็นฮาเซคีสุลต่าน (Haseki Sultan) ในฮาเล็มจะมีเขตที่อยู่ของพนักงานรับใช้ชาย ที่เรียกว่า พวกยูนูค (Eunuch) ซึ่งจะตอน ตัดอวัยวะเพศทิ้งทั้งหมด เหมือนกับขันทีในประเทศจีน ช่วงแรกจะมีเพียงขันทีผิวขาว มาจากพื้นที่แถบเทือกเขาคอเคซัส ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตุรกี แต่ตอมามีชันทีพวกผิวดำจากแอฟริกาเข้ามารับใช้ในราชสำนัก เกิดการแก่งแย้งชิงดีชิงเด่นกัน จนเหลือแต่พวกขันทีผิวดำนั้น เมื่อเข้ามาทุกคนจะมีชื่อใหม่ เป็นชื่อผู้หญิง เช่น คาร์เนชั่น นาร์ซิสซัส ไอริส โรส แมรี่ ดอลลี่ เป็นต้น บรรยากาศภายในฮาเร็มจะค่อนข้างมืด อากาศเย็น เพราะอาคารในฮาเร็มจะปิดมิดชิดทั้งหน้าต่าง ผนัง และหลังคา เพื่อป้องกันสายตาคนข้างนอกไม่ให้มองเป็นข้างใน และไม่ให้ผู้หญิงในฮาเร็มมองเห็นผู้ชายข้างนอกอีกด้วย ห้องพักในฮาเร็มมีอยู่กว่า 300 ห้อง เปิดให้ชมเพียง 30 ห้อง

พระราชวังนี้ใช้เป็นสถานที่ประทับอย่างเป็นทางการของสุลต่านแห่งจักรวรรดิออตโตมันมาหลายศตวรรษ ปัจจุบันเปิดให้บุคคลทั่่วไปเข้าชมและเป็นที่เก็บโบราณวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์

พระราชวัง Topkapi เป็นหนึ่งในบรรดาพระราชวังออตโตมันที่คงสภาพเหมือนเดิมที่สุด โดยตั้งอยู่ในบริเวณที่เริ่มมีการตั้งรกรากในอิสตันบูล การได้มาเยือนพระราชวังจะทำให้คุณเข้าใจประวัติศาสตร์ของออตโตมันที่เกิดขึ้นในเมืองแห่งนี้มากขึ้น พระราชวัง Topkapi ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในสมัยประธานาธิบดีอตาเติร์ก ผู้สถาปนาสาธารณรัฐตุรกีในปี ค.ศ. 1924

แม้ว่าพระราชวังแห่งนี้จะเป็นสถานที่ในฝันของคอประวัติศาสตร์ แต่ผู้เข้าชมบางส่วนก็เพียงต้องการมาชมวิวเท่านั้น เพราะมีจุดชมวิวที่สามารถเห็นโกลเด้นฮอร์นซึ่งเป็นอ่าวธรรมชาติของอิสตันบูล รวมทั้งช่องแคบบอสฟอรัสและทะเลมาร์มะรา

สถานที่แห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ 173 เอเคอร์ (70 เฮกเตอร์) ล้อมรอบด้วยกำแพงยาวกว่า 3 ไมล์ (5 กิโลเมตร) ชมประตูรั้วที่สูงลิบ สวนที่เรียงรายด้วยแนวต้นไม้ และอาคารสไตล์ตุรกีดั้งเดิมซึ่งเคยเป็นที่พำนักของสุลต่านออตโตมันและผู้ติดตาม พระราชวังได้มีการต่อเติมและเปลี่ยนแปลงในหลายยุคหลายสมัยการปกครอง ซึ่งสุลต่านแต่ละพระองค์ต่างก็สร้างอนุสรณ์ของตนเองไว้ในพระราชวัง

แม้จะผ่านไปหลายร้อยปี พระราชวังก็ยังคงความหรูหราอลังการไม่สร่าง บริเวณสวนประดับไปด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบตุรกีอันน่าทึ่งมากมาย ภายในครัวมีเครื่องกระเบื้องของจีนกับญี่ปุ่นร่วม 12,000 ชิ้น

เมื่อออกไปในสวนรอบนอก คุณจะได้เห็น Hagia Irene โบสถ์ออร์โธดอกซ์ที่ปัจจุบันมักใช้เป็นที่จัดแสดงงานดนตรี นอกจากนี้ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย แต่คุณต้องขออนุญาตเป็นพิเศษเพื่อที่จะเข้าชม

พระราชวัง Topkapi ในเขตเมืองเก่าของอิสตันบูลไม่มีบริการไกด์นำเที่ยว แต่คุณสามารถหาไกด์เอกชนได้มากมายบริเวณหน้าช่องขายตั๋ว พระราชวังเปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันอังคาร