6วัน 5คืน ณ ดินแดนแห่งสองทวีป อิสตันบูล ประเทศตุรกี

เราเชื่อว่าหากใครมีโอกาศมาเยือนหรือสัมผัส อิสตันบูล เป็นต้องหลงใหลในสเน่ห์ของเมืองนี้อย่างแน่นอนเพราะเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานและเป็นอดีตเมืองหลวงของตุรกีที่เก่าแก่กว่า 2600ปี อีกทั้งยังเป็นเมืองที่ถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งสองทวีปที่รวมทั้งยุโรปและเอเชียไว้ในแผ่นดินเดียวกัน

เราเริ่มออกเดินทางจาก กรุงเทพ-อิสตันบูล เมื่อวันที่ 28ธันวาคม-4มกราคม2561 ด้วยสายการบิน Kuwait Airways ซึ่งประทับใจในบริการของสายการบินนี้มากพนักงานบนเครื่องใจดีและส่วนใหญ่เป็นคนไทยซะด้วยแถมยังให้ข้าวเรามากินกันหิวกับเพื่อนตั้งคนละสองกล่อง

                                                                    (อาหารบนเครื่องหน้าตาประมาณนี้ค่ะ)    

หลักจากที่ถึงสนามบิน Ataturk เรานั่ง Metro ละต่อรถลาง(Tramp)ไปลงสถานี Sultanahmet ซึ่งที่พักเราห่างจากสถานีนี้ประมาณสองกิโลเราและเพื่อนลากกระเป๋ากันเข้าโรงแรมพร้อมกับสายฝนที่กระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ขาดสายพูดได้ว่าถึงโรงแรมแบบเปียกปอนไปทั้งตัวและอากาศช่วงปลายเดือนธันวาค่อนข้างที่จะหนาวมากๆ ใครไปตุรกีช่วงนี้ item ที่อยากให้นำติดตัวกันมาคือร่มค่ะ เพราะช่วงที่เราไปเจอฝนบ่อยมากๆ โรงแรมที่เราพักชื่อโรงแรม Merial Hotel เป็นโรงแรมเล็กๆค่ะ เดินทางไปสถานที่ต่างๆสะดวกเพราะไม่ไกลจากTrampมากและที่สำคัญ ราคาไม่แพงด้วยค่ะเราหารกับเพื่อนอีกหนึ่งคนตกคืนละประมาณเจ็ดร้อยกว่าบาทถือว่าถูกมากๆค่ะ

ด้านในโรงแรมหน้าตาประมาณนี้ค่ะห้องพักถือว่าสะอาดสมราคาสารภาพตามตรงว่าลืมถ่ายรูปโรงแรมมาค่ะภาพนี้เอามาจากเน็ต

หลักจากที่เราเช็คอินจัดเก็บสำภาระต่างๆเรียบร้อยก็เดินลงมาเดินเล่นละแวกโรงแรมละค้นพบว่า เคบับที่นี้อร่อยมากอร่อยจนกินเกือบทุกวันหลังจากนั้นเราก็กลับโรงแรมแล้วนอนพักกันยาวๆเลยค่ะเพราะ jet lag กันมากๆ

เคบับหน้าตาประมาณนี้ค่ะ
Day2
Hagia Sophia, Yerebatan Sarncini, Topkapi, Blue Mosque, Grand Barzaar
สิ่งที่เราทำอย่างแรกเลยคือไป Hagia Sophia ละซื้อ Museum Pass แถวๆหน้า Hagia Sophia ราคาสนนอยู่ที่ 85 Turkish Lira (TL) ประมาณ 850บาท ซึ่งบัตรนี้เรียกได้ว่าอเนกประสงค์มากเพราะสามารถใช้เข้าได้เกือบทุกที่เลยไม่ว่าจะเป็น
1.Hagia Sophia
2.Hagia Irene
3.Topkapi Palace and Harem
4.Istanbul Mosaic Museum
5.Museum of Turkish and Isamic Arts
6.Istanbul Archaeological Museum
7.Museum for the history of science and technology in Islam, 8.Gatala mevlevi house museum
9.Chora Museum
10.Fethiye Museum,
11.Museum of the Turkish Islamic Art
12.Rumeli Hisar Museum
โดยระยะเวลาในการใช้บัตรจะอยู่ได้ไม่เกิน 3วันนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ แต่ซื้อเถอะถือว่าคุ้มค่ามากๆต่อให้จะไม่เข้าครบทุกที่ก็ตามเรียกได้ว่าใบเดียวจบ

Museum Passหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ

Hagia Sophia

อันนี้ภาพจากด้านใน Hagia Sophia

พอเราเดินดู Hagia Sophia เสร็จเรากะว่าจะไป blue mosque แต่ว่าช่วงนั้นเขากำลังละหมาดอยู่พอดีเลยเข้าไม่ได้โดยคนอิสลามจะละหมาดทั้งหมด 5เวลาด้วยกันคือ ย่ำรุ่ง (ตี5-6โมงเช้า) บ่าย (เที่ยงครึ่ง-บ่ายโมงกว่าๆ) เย็น (บ่าย3-5โมงเย็น) พลบค่ำ (6โมงครึ่ง-ทุ่มกว่าๆ) และ กลางคืน (ก่อนนอน ประมาณ 1 ทุ่ม เป็นต้นไป) เราจึงเดินฆ่าเวลาไปที่ อุโมงน้ำใต้ดิน Yerebatan Sarncini หรือ พระราชวังใต้น้ำ ซึ่งเป็นอุโมงเก็บน้ำใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในอิสตันบูล ภายในเรียงรายไปด้วยเสาหินโรมันกว่า 336ต้น

ภายในอุโมงน้ำใต้ดิน

ต่อมาเรามาที่ พระราชวัง Topkapi ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้ เป็นพิพิธภัณฑ์เก่าแก่กว่าเกือบ 600ปี อดีตเป็นพระราชวังและใช้ชื่อว่า “Imperial New Palace” แต่ด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมืองอิสตันบูลเมื่อปี ค.ศ.1509 และเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อปี ค.ศ.1665 ทำให้พระราชวังแห่งนี้เสียหายและทรุดโทรมไปมากจนต้องทำการบูรณะหลายครั้ง และประกอบกับว่าสุลต่านในยุคนั้นชอบที่จะใช้ชีวิตในวัง (Dolmabahce Palace) มากกว่า Sultan Abdulmejid I จึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนวังหลักจาก Imperial New Palace เป็น Dolmabahce Palace ต่อมา Imperial New Palace ได้ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Topkapi” ซึ่งมีความหมายว่า ประตูปืนใหญ่ และหลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1924 รัฐบาลตุรกีได้เปลี่ยนพระราชวัง Topkapi เป็นพิพิธภัณฑ์ภายใต้การดำเดินงานของกระทรวงการท่องเที่ยวแลวัฒนธรรม

รูปนี้เราบืมจากเน็ตมาค่ะเป็นบริเวณด้านหน้าของ Topkapi Palace

ด้านใน Topkapi Palace

วิวจากหลังฮาเร็มที่ Topkapi Palace

หลังจากที่เราเชยชม พระราชวัง Topkapi อย่างหนำใจก็ได้เวลาที่เราจะไปเชยชมความงามแห่ง Blue Mosque การเข้าใน Blue Mosque ไม่มีค่าเข้านะคะแต่ว่าจะมีตู้ให้บริจาคตามกำลังศรัทธา

พอเข้าไปด้านใน Blue Mosque ละหายสงสัยเลยว่าทำไมถึงเขาเรียกที่นี้ว่า “มัสยิดสีน้ำเงิน” เนื่องจากด้านในตกเเต่งด้วยวัสดุที่ใช้โทนสีน้ำเงินเป็นหลัก ซึ่งวัสดุที่ใช้เป็นหลักในมิสยิดคือกระเบื้องเคลือบที่เรียกว่า “iznik” พอเข้าไปด้านในรู้สึกได้ถึงความขลังของที่นี่

หลังจากนั้นก็ไปกันต่อที่ Grand Barzaar ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ มีขายแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของฝากต่างๆ แต่ที่นี้แอบราคาแรงอยู่นะคะ แนะนำให้ไปช้อปปิ้งที่ Spice Market จะดีกว่า

ขอสารภาพตามตรงเลยนะคะว่าเรามัวแต่shoppingจนเพลินลืมถ่ายรูปที่ Grand Barzaar กับ Spice Market มาฝากเลยค่ะ

Day3
Galata tower, Dolmabace Palace, Rumeli Hisari (Castle)

Galata tower เราไปที่นี่ที่แรกเลยค่ะเพราะช่วงเย็นคนจะเยอะมากเป็นอีกหนึ่ง landmark ของอิสตันบูลเลยค่ะข้างบนไม่จำกัดเวลาขึ้นด้วยนะคะระหว่างทางขึ้นไปค่อนข้างแคบนิดนึง
วิวจากด้านบนGalata Towerค่ะ

พออิ่มหนำสำราญกับการชมวิวบน galata tower แล้วเราก็ไปต่อกันที่ Dolmabahce Palace ที่นี่ค่าเข้าชมไม่รวมใน Museum Passนะคะ ค่าเข้าชมในส่วนของพระราชวังกับ harem 40 TL ต่อคน (ปิดทุกวันจันทร์และวันพฤหัสค่ะ) พระราชวัง Dolmabahce แห่งนี้เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในตุรกีด้วยพื้นที่กว่า 45,000 ตารางเมตร และพระราชวังแห่งนี้ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแนว Baroque, Rococo, Neoclassical และ แบบออตโตมันดั่งเดิมเข้าไว้ด้วยกัน อีกทั้งยังตั้งอยู่บริเวณริมช่องแคบBosphorus ทำให้พระราชวังแห่งนี้มีวิวทิวทัศน์ที่สวยมาก


ที่ Dolmabahce Palace ไม่อนุญาต ให้ถ่ายรูปด้านในนะคะเลยมีแต่รูปด้านนอกมาฝาก

หลักจากนั้นเรามาที่  Rumeli Hisari (Castle)เป็นอดีตป้อมปราการที่ถูกสร้างในสมัยยุคของสุลต่านเมห์เมดที่2 ในปี1451-1452 ตั้งอยู่บนฝั่งยุโรปริมช่องแคบบอสฟอรัส

ตกเย็นมา count down ที่สะพาน galata ตอนแรกเราวาดฝันว่าจะได้เจอกลับพลุอลังกาล แต่ไม่มีอะไรเลยค่ะนอกจากฝูงชนที่ค่อนข้างแน่นเลยเอาบรรยากาศคืน31มาฝากกันค่ะ
บรรยากาศคืน31คนแน่นมากค่ะบริเวณสะพานgalataเราและเพื่อนอยู่ไม่ถึงเที่ยงคืนด้วยค่ะเพราะเพื่อนอีกคนไม่ค่อยสบายเราจึงตัดสินใจกลับโรงแรมกันค่ะ

Day4
นั้งเรือข้ามฟากไปฝั่งเอเชีย

วันนี้แพลนว่าจะข้ามไปเที่ยวฝั่งเอเชียโดยนั่งเรือข้ามฟากไปกันคือประทับใจวิวบนเรือมากสวยตาแตกมากค่ะ แต่ลมก็แรงมากๆด้วยเช่นกันเรียกได้ว่าตัวแทบจะปลิวทีเดียวค่ะเมื่ออยู่บนเรือข้ามฟาก เราชอบโมเม้นที่อยู่บนเรือละเวลาถ่ายรูปด้านหลังเป็นฉากของอิสตันบูลฝั่งยุโรป คือสวยมาก วิวทิวทัศน์ของตึกรามบ้านช่องอันสวยงามตัดกับน้ำทะเลสีเข้มจากช่องแคบบอสฟอรัสเป็นโมเม้นที่น่าประทับใจมาก

อีกสิ่งที่อยากแนะนำให้มาลองถ้ามาตุรกีคือร้านข้าวแกงที่นี้คืออร่อยมากและไม่แพงเลยเรากินเกือบทุกวันจนเจ้าของร้านแถมขนมปังฟรีให้เราแต่ร้านนี้เป็นร้านที่เราไปทานที่ฝั่งเอเชียนะคะ
บรรยากาศร้าน
อาหารในร้านหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

วันนี้เราหลงกับเพื่อนด้วยค่ะเลยไปนั่งเรือข้ามฟากจากฝั่งเอเชียกลับคนเดียวเราบอกกับเพื่อนว่าให้ไปเจอกันที่โรงแรมเลยก่อนกลับก็แวะทานขนมปังปลาละเข้าที่พักเลยค่ะ
หน้าตาของขนมปังปลา


Day5
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ตุรกีแล้วค่ะ เราเก็บ Bosphorus Tour ไว้ในวันสุดท้ายก่อนเราจะกลับกรุงเทพในคืนนี้เพราะหลายเสียงบอกต่อกันมาว่าสวยมาก เลยอยากเก็บ Bosphorus Tour ไว้เป็นที่สุดท้ายจะได้จดจำโมเม้นความประทับใจและความงดงามของเมืองนี้อย่างมิรู้ลืม

โรงแรม kempenski สวยมากๆค่ะอดีตเป็นพระราชวังเก่า