อิสตันบูล 6วัน4คืน กับงบไม่เกิน 3 หมื่นบาท เมืองสวย อาหารอร่อย ผู้คนเป็นมิตร

อิสตันบูล 6วัน4คืน กับงบไม่เกิน 3 หมื่นบาท

เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสไปเที่ยวอิสตันบูลกับคุณแม่มา 6วัน4คืน หลังจากซุ่มอ่านรีวิวในห้องบลูมานาน วันนี้เลยอยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆฟังบ้าง เผื่อมีใครกำลังสนใจที่จะไป อยากบอกว่าไม่ต้องลังเลเลยค่ะ ไปโลดดด มันดีย์มากก

อิสตันบูล 6วัน4คืน เราใช้งบไปทั้งหมดประมาณ 25,000 บาท (ไม่รวมซื้อของฝาก ช้อปปิ้ง และค่ากิน) แบ่งเป็น
ค่าตั๋วเครื่องบิน   17460 บาท
ค่าที่พัก4คืน   3800 บาท
ค่าเข้าชม (museum pass)  1500 บาท
ค่าเดินทาง   1000 บาท
ค่า pocket wifi   560 บาท
ส่วนที่เหลือ 5,000 บาท เผื่อไว้เป็นค่ากินและค่าซื้อของฝากเล็กน้อยๆค่ะ

ตุรกีใช้ค่าเงิน “เตอร์กิชลีร่า” หรือตัวย่อ TL เราแลกเงินไปจาก Super Rich สีส้ม เรทตอนนั้นประมาณ 8 บาทกว่าๆ ต่อ 1 ลีร่า แต่เพ่ื่อให้สะดวกกับการคำนวณเราใช้เรท 10บาท / 1 ลีร่า ตลอดทั้งทริปค่ะ

ตั๋วเครื่องบิน
เราได้ตั๋วโปรของสายการบิน Royal Jordanian ไปต่อเครื่องที่จอร์แดน ส่วนถ้าบินตรงมีแค่ Turkish Airline ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 25000 – 30000 หรือถ้าเจอโปรก็อาจจะถูกกว่านี้ได้ค่ะ

ที่พัก
เราพักอยู่ที่ Glamour hotel ย่าน Sirkeci  อยู่ถัดจากสถานี sultanahamet ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวสำคัญสองสถานี และสามารถเดินถึงย่าน Eminonu ซึ่งเป็นท่าเรือเฟอรี่ได้ภายใน 5 นาที ที่สำคัญคือเดินจากรร.แค่1-2นาทีก็ถึงสถานีรถรางแล้ว แถมยังอยู่ใกล้สถานีรถไฟสาย Marmaray ที่สามารถนั่งลอดใต้ทะเลข้ามไปฝั่งเอเชียได้ อยู่ติดกับรร.เลย

สภาพรร.เป็นตึกเล็กๆ แต่ข้างในใหม่และสะอาดมากค่ะ ห้องนอนขนาดโอเค

แต่ห้องน้ำค่อนข้างเล็กนิดนึง

ที่นี่มีอาหารเช้าและทำความสะอาดห้องให้ทุกวันค่ะ สต๊าฟก็เฟรนลี่ พร้อมช่วยเหลือให้ข้อมูลทุกอย่าง ตกคืนละ 900 บาท ถ้าเทียบกับราคาโดยรวมถือว่าประทับใจมาก ต้องบอกว่ารร.ที่เมืองนี้ราคาค่อนข้างจะโอเค ไม่ถือว่าแพงเกินไป ถ้าเทียบกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆอย่างญี่ปุ่นหรือยุโรป

ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ
เราแนะนำว่าให้ซื้อเป็น Museum Pass บัตรเดียวเข้าที่เที่ยวสำคัญๆของอิสตันบูลได้เกือบครบ เป็นแบบ 5วัน ราคา 125 TL

จะมีบอกสถานที่ท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์ทั้งหมดที่เราสามารถเข้าชมได้ที่รวมอยู่ในบัตรนี้ และสถานที่ที่สามารถซื้อบัตรได้ ถ้าใครที่ตั้งใจจะไปชมหลายๆสถานที่ที่รวมอยู่ในบัตรนี้อยู่แล้วซัก 4ที่ ก็ถือว่าคุ้มแล้วค่ะ

แต่จะมีอยู่ 3 ที่ที่ไม่รวมอยู่ในพาสก็คือ อ่างเก็บน้ำใต้ดิน ฺBasilica Cistern กับ พระราชวังDolmabache  แล้วก็ Galata Tower ถ้าใครอยากเข้าชมต้องจ่ายแยกค่ะ ใช้พาสไม่ได้

ค่าเดินทางภายในอิสตันบูล

เป็นบัตรไว้ใช้ได้กับทุกพาหนะ ทั้งรถเมล์ รถราง รถไฟ เรือ เพียงแค่เติมเงินในบัตรแล้วนำไปแตะที่ทางเข้า

บัตรนี้สามารถใช้ด้วยกันได้ ไปกัน3-4คนก็ใช้ใบเดียวกันค่ะ ให้คนนึงแตะเข้าไปก่อน แล้วค่อยส่งบัตรให้กัน ซึ่งถ้าเราใช้บัตรนี้ค่าโดยสารก็จะถูกลงค่ะ เติมเงินไว้ล่วงหน้าเลยเวลาจะเดินทางจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อตั๋วค่ะ

Pocket Wifi

เป็นบริการไวไฟของที่โน่นเลย สัญญาณเต็มตลอดทริป แถมมีแบตเตอรี่สำรองมาให้ด้วย เราเข้าไปจองในเว็บแล้วตัดเงินจากบัตรเครดิตค่ะ ไปรับเครื่องที่รร.และคืนเครื่องที่รร.ค่ะ หรือเราจะเลือกรับเครื่องที่สนามบินเลยก็ได้ ถ้าเช่าไปจากไทยอันนี้เราไม่แน่ใจว่าสัญญาณจะใช้ได้ดีมั้ยนะคะ

ตม.ตุรกี
อยากจะบอกว่าที่นี่นอกจากจะไม่ต้องใช้วีซ่าแล้ว ใบขาเข้าเราก็ไม่ต้องกรอกไม่ต้องยื่นอะไรใดๆเลยค่ะ คือลงจากเครื่องปุ๊บ เดินตัวปลิวไปตม. ยื่นพาสปอตให้เจ้าหน้าที่ประทับตรา ยิ้มแฉ่งให้หนึ่งที ก็ออกมาได้เลยประหนึ่งเหมือนเป็นประชากรชาวตุรกียังไงยังงั้น

วิธีเดินทางเข้าตัวเมือง

นั่ง Metro สาย M1A (สายสีแดง) จากสนามบิน→ ลง metro ที่สถานี Zeytinburnu → ต่อรถรางสาย T1ที่สถานี Zeytinburnu (สายสีน้ำเงิน)→ ลงสถานีSirkeci (หรือสถานีที่จองรร.ไว้)

เมื่อผ่านตม. รับกระเป๋าออกมาแล้ว ให้มองหาป้าย metro แล้วเดินตามป้ายมาเรื่อยๆเลยค่ะ

จะเจอสถานี metro หน้าตาแบบนี้

มองไปด้านขวาจะเจอตู้กดตั๋ว+เติมเงินสีเหลืองๆ ให้กดซื้อ Istanbulkart ที่นี่

บัตรมีมูลค่า 6 TL เมื่อกดบัตรมาแล้วให้เติมเงินค่าโดยสารเข้าไปอีก ไปกัน 2 คน หรือ 4 คน ก็กดแค่ใบเดียว เติมเงินส่วนของทุกคนในบัตรนี้ใบเดียวได้ค่ะ

วิธีการกดบัตร
กดปุ่มทางด้านซ้ายเพื่อเลือกเป็นภาษาอังกฤษ

กดปุ่มด้านขวาเพื่อเลือกซื้อ Istanbulkart

จะมีหน้าจอแบบนี้ขึ้นมา

ใส่เงินเข้าไปในช่องใส่แบงค์ด้านบน

ก็จะได้บัตรอกมาที่ช่องด้านล่าง จากนั้นให้นำบัตรมาวางที่ช่องสีขาวแล้วใส่เงินเข้าไปอีกครั้ง เพื่อเติมเงินในบัตร

ได้บัตรมาแล้วเราก็เข้าไปในสถานีกันเลยค่า  

ลงบันไดเลื่อนไปจะเจอชานชาลา ขึ้นรถขบวนไหนก็ได้เลยเพราะสนามบินเป็นสถานีต้นทาง แต่เพื่อความชัวร์ให้มองป้ายค่ะ จะมีป้ายด้านบนที่เขียนว่า Zeytinburnu ซึ่งเป็นสถานีที่เราต้องไปต่อรถราง ให้ขึ้นรถฝั่งที่ลูกศรชี้ไปค่ะ

ลงรถที่สถานี Zeytinburnu ออกจากสถานีไม่ต้องแตะบัตร ผลักตรงที่หมุนๆแล้วเดินออกได้เลย

ออกมาปุ๊บจะเห็นทางเข้าสถานีรถรางเลย แตะบัตรเข้าไปแล้วเดินข้ามฝั่งไปตามทางเพื่อไปยังชานชาลา

เราต้องนั่งรถรางไปฝั่งที่เขียนว่า Kabatas ซึ่งจะอยู่ฝั่งขวามือนั่นเอง

เราจะไปลงที่สถานี Sirkeci อยู่ถัดจากสถานี Sultanahmet ที่เป็นศูนย์กลางแหล่งท่องเที่ยวสำคัญไปสองสถานี

ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ก็มาถึงรร.ค่ะ เมื่อเก็บของนั่งพักผ่อนกันสักพักแล้ว เราก็พร้อมออกไปเดินสำรวจเมืองกันค่ะ Let’s go!!!

ก่อนอื่นขออธิบายก่อนว่าอิสตันบูลจะแบ่งออกเป็นสามฝั่งใหญ่ๆ คือฝั่งเอเชีย(ด้านขวา) ถูกคั่นด้วยช่องแคบบอสฟอรัสแยกจากฝั่งยุโรป (ด้านซ้าย) ซึ่งฝั่งยุโรปก็จะแบ่งออกอีกเป็นสองฝั่งเพราะถูกคั่นด้วย Golden Horn โดยที่ีมีสะพานกาลาตาเชื่อมทั้งสองฝั่งอยู่

เราขอแนะนำที่เที่ยวแบบแบ่งเป็นย่านๆนะคะ เรารู้สึกว่าเที่ยวเป็นส่วนๆจะง่ายกว่า และที่เที่ยวส่วนใหญ่สามารถเดินถึงกันได้หมดค่ะ .ลองนำไปวางแผนเที่ยวกันดูได้ค่ะ

ย่าน Sultan Ahmet และบริเวณรอบๆ

1. Blue Mosque

http://www.sultanahmetcamii.org/
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวันเวลา 8:30-11:30, 13:00-14:30, 15:30-16:45 ปิดให้เข้าชมเวลาละหมาด และวันศุกร์เปิดตั้งแต่เวลา 13:30

สถานที่เที่ยวแรกที่ใครก็ต้องมาถ้ามาเที่ยวอิสตันบูล ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชม แต่จะมีตู้รับบริจาคอยู่ตรงทางออก แล้วแต่ความสมัครใจค่ะ ที่ด้านหน้าทางเข้า เดินไปทางซ้ายมือจะมีที่สำหรับให้ยืมผ้าคลุมผมและกระโปรงยาวสำหรับผู้หญิง แต่ถ้าใครใส่กางเกงขายาวและเสื้อที่ชายยาวปิดถึงช่วงสะโพกอยู่แล้วก็ไม่ต้องใส่กระโปรงก็ได้ค่ะ แค่ผ้าคลุมผมก็พอ
เมื่อเดินเข้าไปก็จะเห็นลานด้านหน้าและตัวมัสยิด มีหอสวดมนต์และบริเวณปีกด้านขวาของมัสยิดปิดซ่อมแซมอยู่

เมื่อเข้าไปในตัวมัสยิดสิ่งแรกที่เห็นคือ นั่งร้าน เอ๊ะ!! ยังไง

พอเดินเข้าไปอีก ตรงส่วนที่ควรจะเป็นแชนเดอเลียและเพดานกระเบื้องเคลีอบสีฟ้าสวย กลับถูกปิดครอบหมดเลย

ปรากฏว่าช่วงที่เราไปเค้าปิดซ่อมแซมค่ะ ผ่างงง ตัวแชนเดอเลียถูกย้ายออกไป กระเบื้องสีฟ้าก็มองไม่เห็นเลย มาได้ถูกจังหวะจริงๆ T^T แต่ก็ยังได้เห็นส่วนที่เป็นสีฟ้าอยู่ค่ะ

จากตอนแรกที่คิดว่าจะอยู่นานหน่อย แต่แค่ครึ่งชม. เราก็ออกมาแล้วค่ะ ช่วงที่เราไปคือช่วงปลายเดือนพ.ค.นะคะ แต่คิดว่าตอนนี้น่าจะซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วหละค่ะ ยังไงก่อนไปลองหาข้อมูลดูก่อนนะคะ ช่วงปีสองปีนี้อิสตันบูลมีแพลนจะรีโนเวทที่เที่ยวเยอะมากค่ะ จากที่เราไปมาคือเจอเกือบทุกที่

บลูมอสก์จากมุมด้านนอก

ลืมบอกอีกอย่างว่าที่นี่ยังคงเป็นมัสยิดที่ยังมีคนท้องถิ่นเข้าไปละหมาดตามปกตินะตะ ฉะนั้นถ้าเป็นเวลาที่เค้าต้องเข้าไปละหมาดกันจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปช่วงนั้นได้ค่ะ สามารถเช็คเวลาได้จากเว็บนี้เลย ลิ้ง
ถ้าเอาให้ชัวร์ที่สุดไปซักช่วง 8.30 – 11.00  เพราะถ้าไปเจอตอนละหมาด อาจจะต้องรอซักชั่วโมงนึงเลยค่ะกว่าจะได้เข้าไป และถ้าเป็นตอนเที่ยงๆบ่ายๆคนจะเริ่มเยอะค่ะ

2. Hagia Sophia

ค่าเข้าชม: 40TL (รวมอยู่ใน Museum Pass)
เวลาเปิด-ปิด: 15 เม.ย.- 30 ก.ย. เปิดเวลา 9:00 -19:00 น. , 30 ก.ย. -15 เม.ย. เปิดเวลา 9:00 – 17:00 น.  

ที่นี่เป็นที่ที่เราอยากไปมากที่สุดในทริปเลย เพราะมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมาก ด้านในอาคารเป็นการผสมผสานกันระหว่างศาสนาคริสต์และอิสลาม เราตั้งใจจะใช้เวลาอยู่ที่นี่สัก 2 ชม. ค่ะ

เมื่อเข้ามาด้านในก็พบกับ นั่งร้าน อีกแล้ว !! ที่นี่ก็กำลังบูรณะอยู่เช่นกัน จะมีนั่งร้านอยู่ที่บริเวณฝั่งซ้าย ส่วนโซนอื่นๆชมได้ตามปกติ

ด้านในคือใหญ่มาก สวยงามอลังการ เราจะเห็นตัวอักษรสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลามอยู่ที่เสาด้านหนึ่ง แต่มองเลยขึ้นไปจะเห็นรูปวาดของพระแม่มารีของศาสนาคริสต์

ที่ชั้นสองก็จะมีภาพโมเสกสีทองสวยงาม เป็นรูปพระเยซู พระแม่มารี และจักพรรดิของโรมันในสมัยนั้น สวยงามมากค่ะ

บอกเลยว่าที่นี่ห้ามพลาดมากจริงๆ มันมีรายละเอียดของศิลปะและประวัติศาสตร์อะไรต่างๆให้เราได้ดูเยอะแยะมากมายเลย

3. Basilica Cistern

ค่าเข้าชม: 20TL (ไม่รวมใน Museum Pass)
เวลาเปิด-ปิด: ทุกวัน 9:00 – 18:30 น.

ออกจากฮาเกียโซเฟีย เราก็ข้ามถนนไปต่อกันที่ อ่างเก็บน้ำเยเรบาตัน ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำใต้ดินที่สร้างมาตั้งแต่จักรวรรดิไบแซนไทน์ ปัจจุบันไม่ได้ใช้งานแล้ว และเปิดเป็นที่ท่องเที่ยวแทน ซื้อตั๋วที่ด้านหน้าแล้วเดินลงบันไดไปชั้นใต้ดิน

ลงบันไดเข้ามาได้นิดเดียว ตรงปากทางจะเจอกับซุ้มถ่ายรูป มีชุดแบบตุรกีให้เช่าใส่ถ่ายรูป ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณ 30TLนี่แหละค่ะ ค่อนข้างแพงอยู่เลยไม่ได้ถ่าย

ด้านล่างค่อนข้างจะมืดนิดนึง และอากาศเย็น น่าจะเป็นเพราะข้างในโครงสร้างเป็นหินทั้งหมด

จะมีเสาที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่อยู่สองเสาก็คือ เสาร้องไห้ และ เสาหินเมดูซ่า ที่จะอยู่สุดทางเดิน

เสาร้องไห้ ที่ได้ชื่อว่าเสาร้องไห้น่าจะมาจากลายขดเป็นวงๆบนตัวเสาที่มีลักษณะคล้ายตา และมีน้ำไหลจากด้านบนผ่านลงมาคล้ายกับกำลังร้องไห้อยู่

เสาหินเมดูซ่าจะอยู่สุดทางเดิน ในยุคสมัยไบแซนไทน์ที่ศาสนาคริสต์เริ่มเจริญรุ่งเรือง เมดูซ่าถือเป็นสัญลักษณ์ของลัทธินอกรีต จึงว่ากันว่าการทีเอาเสามาวางทับหัวเมดูซ่าและนำมาไว้ที่ใต้ดินแบบนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของการต้องการกำจัดและฝังลัทธินอกรีตนี้ให้ตายไป

4.Topkapi Palace

ค่าเข้า: 40 TL (รวมอยู่ใน Museum Pass)
เวลาเปิด-ปิด:  15 เม.ย.- 30 ต.ค. เวลา 9.00 – 18.45 น. , 30 ต.ค. – 15 เม.ย. เวลา 9.00 – 16.45 น. ปิดทุกวันอังคาร

ที่นี่เป็นพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยออตโตมัน มีทำเลที่ตั้งอยู่ติดกับทะเล สามารถมองเห็นวิวทะเลที่สวยงามและมองไปเห็นฝั่งเอเชียได้

เดินเข้ามาไปตามทางเรื่อยๆ ด้านซ้ายมือจะมีฮาเกียไอรีน เป็นโบสถ์คริสต์เล็กๆที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พระราชวังของสุลต่าน ด้านในไม่ค่อยมีรูปวาดหรือรูปประดับอะไรเหลือให้ดูแล้ว นอกจากผนังโล่งๆ สามารถใช้ Museum Pass ได้

เดินต่อมาก็จะเจอกับประตูทางเข้าอีกชั้นนึง :ซึ่งประตูนี้จะมีหอคอยขนาบอยู่ทั้สองข้าง ออกแบบไสตล์ยุโรป เพื่อเป็นการประกาศว่าอาณาจักรออตโตมันซึ่งปกครองดินแดนแถบนี้ในเวลานั้น ไม่ได้ยิ่งใหญ่น้อยไปกว่าชาติตะวันตกเลย

พอเดินเข้าประตูไปแล้วก็จะเจอกับห้องจัดแสดงอุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆของสุลต่านในสมัยก่อน หมู่อาคาร สวนดอกไม้ประดับเล็กๆ จุดชมวิว รวมทั้งในส่วนของฮาเร็มที่เป็นพื้นที่ส่วนในของนางในและพระมารดาของสุลต่าน

วิวจากจุดชมวิว

ด้านในฮาเร็ม

5. Hippodrome

ค่าเข้าชม: ไม่มี
เวลาเปิด-ปิด: ไม่มี

ที่นี่เคยเป็นสนามแข่งม้าที่ยิ่งใหญ่ในสมัยจักรวรรดิ์ไบแซนไทน์ของโรมัน ว่ากันว่าสามารถจุคนได้ถึงหนึ่งแสนคน แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียงแค่เสาหินประติมากรรมกลางสนามสามเสาเท่านั้น ซึ่งเสาเหล่านี้เป็นของที่นำมาจากเมืองต่างๆที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรไบแซนไทน์ เช่น อียิปต์

เสาของทุสโมซิสที่3

เสางู เมื่อก่อนมีหัวงูสามหัวพันเกี่ยวกันที่ปลายเสา แต่ปัจจุบันหักไปหมดแล้ว โดยหัวที่เหลือหนึ่งหัวถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์

เสาโอเบลิสก์ สมัยโบราณเป็นเสาหินซึ่งมีทองคำเคลือบอยู่ด้านนอก แต่สมัยสงครามได้ถูกเผาและลอกเอาทองออกไปจนเหลือแต่โครงหิน

6. Istanbul Archaeology Museum

ค่าเข้าชม: 20 TL ซื้อตั๋วเข้าชมได้ถึง 16.00 น.
เวลาเปิดปิด: 15 เม.ย. – 30 ต.ค. 9:00 – 18:45 น. , 30 ต.ค. – 15 เม.ย. 9:00 – 16:45 น. ปิดทุกวันจันทร์

เป็นสถานที่จัดแสดงวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงประวัติความเป็นมาของอิสตันบูลตั้งแต่ยุคเริ่มแรก สำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์ห้ามพลาดที่นี่เลยค่ะ เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณสองชั่วโมง เราไม่ได้ถ่ายตัวอาคารด้านหน้ามานะคะ เพราะว่าเค้าทำการรีโนเวทอยู่ (อีกแล้ว 555)

หนึ่งในหัวงูที่หลงเหลืออยู่จากเสากลางลานฮิปโปโดรม

วัตถุโบราณ รูปปั้นต่างๆที่ถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์

โลงศพหินที่ใช้ฝังบุคคลสำคัญในอดีต

7. Arasta Bazaar

เดินจากบลูมอสก์เลยไปด้านหลังไม่ไกลมาก จะเจอกับตลาดเล็กๆที่เป็นอาคารไม้ มีของกระจุกระจิกน่ารัก รองเท้า กระเป๋าให้เลือกซื้อ ราคาก็ยังเป็นราคานักท่องเที่ยวอยู่นะ ไม่ได้ถูกมากเท่าไหร่ ที่มาตลาดนี้เพราะว่าตลาดนี้อยู่ติดกับโมเสกมิวเซียมที่เราอยากไปค่ะ

ถ้ามีเวลาเหลือ มาเดินดูของเล่นๆก็เพลินดีค่ะ

8. The Great Palace Mosaic Museum

ค่าเข้าชม: 15TL (รวมอยู่ใน Museum Pass)
เวลาเปิด-ปิด: 15 เม.ย. – 25 ต.ค. 9.00 – 19.00 น. , 25 ต.ค. – 15 เม.ย. 9.00 – 17.00 น.

เป็นที่จัดแสดงภาพโมเสกที่ถูกประดับไว้ในพระราชวังสมัยไบแซนไทน์ การจัดแสดงคือไม่มีกระจกกั้น เราสามารถเห็นได้ใกล้ๆเลย ภาพโมเสกเป็นของเก่าจริง บางภาพหายไปเกือบทั้งแผ่น แต่ดูแล้วก็ทำให้จินตนาการได้ว่าถ้าตอนที่ยังสมบูรณ์อยู่ ภาพโมเสกเหล่านี้จะดูสวยงามมากขนาดไหน

ภาพโมเสกที่ประดับอยู่บนทางเดิน ซึ่งเชื่อว่าบริเวณนี้เป็นทางเดินไปสู่ท้องพระโรงของพระราชวัง

ภาพโมเสกที่เคยถูกประดับไว้ตามที่ต่างๆของพระราชวัง

ที่นี่มีสองชั้น แต่ว่าไม่ได้กว้างมากค่ะ ถ้าใครที่ชอบศิลปะโบราณ ชอบประวัติศาสตร์น่าจะชอบที่นี่เหมือนเราค่ะ เพราะสามารถเดินดูได้แบบชิวๆ คนไม่เยอะเลย