
เอฟิซัสตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเมืองเซลจุค (Selçuk) ในจังหวัดอิชเมียร์ ประเทศตุรกี ในอดีตเอฟิซัสเคยเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดของยุคโบราณ สถานที่ที่หลงเหลือเพียงซากปรักหักพังแห่งนี้เคยเป็นทั้งเมืองท่าที่สำคัญ เป็นประตูสำหรับการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าทั้งจากเอเชีย โรมัน และเป็นศูนย์รวมของนักการเมืองนักปรัชญาในสมัยโบราณ เมืองนี้ยังเป็นบ้านของเฮอร์แรคลิตัส (Heraclitus) นักปรัชญาคนสำคัญยุคก่อนโสกราตีสอีกด้วย

สิ่งก่อสร้างที่หลงเหลือให้เห็นที่ Ephesus ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ประมาณช่วงศตวรรษที่ 11 คือในสมัยจักรพรรดิออกัสตัส (Augustus) เป็นต้นมา ซึ่งสถาปัตยกรรมต่างๆ ล้วนแต่เป็นศิลปะแบบเฮเลนนิสติก (Hellenistic) ซึ่งเป็นศิลปะที่มุ่งเน้นถ่ายทอดความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ศิลปะที่ที่สื่อออกมาจึงแสดงให้เห็นถึงความอ่อนหวานและฝีมือที่ประณีต ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นของเทพเจ้า เทพี และลวดลาย และโครงสร้างของสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่ยังหลงเหลือให้ได้ชม
ภายในบริเวณอันกว้างใหญ่ของเอฟิซัสมีสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่สำคัญหลายอย่าง อาทิ โรงอาบน้ำ (Roman Bath) โรงละครโบราณ (Theatre) ที่จุผู้ชมได้ถึง 25,000 คน หอสมุดเซลซุส (The Library of Celsus) ซึ่งนับเป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมในสมัยนั้นและยังเป็นห้องสมุดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอันดับ 1 คือห้องสมุดที่อเล็กซานเดรียน ประเทศอียิปต์ และอันดับ 2 ที่เมืองเพอร์กามัม (Ruins of Pergamum) ซึ่งอยู่ที่จังหวัดอิซเมียร์ประเทศตุรกีเช่นเดียวกันแต่ปัจจุบันไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว

เป็นที่น่าเสียดายที่ในปี ค.ศ.262 หอสมุด Celsus ที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ได้ถูกชาวกอท (Goth) ซึ่งเป็นชนเผ่าเจอร์มานิคตะวันออกเผาทำลาย เอกสารต่างๆ และตัวอาคารได้จึงรับความเสียหาย ปัจจุบันเหลือให้เห็นเฉพาะส่วนที่เป็นด้านหน้าของตัวอาคาร นอกจากนี้ยังมีจุดบูชาเทพเจ้าและสิ่งอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมาก
นอกจากนี้ Ephesus ยังเป็นที่ตั้งของวิหารอาร์เทมิส (Temple of Artemis) ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งในชุมชนคริสเตียนยุคแรกที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย แม้ว่าปัจจุบันวิหารอาร์เทมีสที่เคยยิ่งใหญ่และงดงามในอดีตจะเหลือซากเสาอยู่เพียง 2 ต้นจากทั้งหมด 127 ต้น ซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่บริเวณถนนทางเข้าฝั่ง North Gate แต่ซากเสาทั้งสองต้นและซากปรักหักพังต่างๆ เหล่านี้ก็พอจะแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความรุ่งเรืองในอดีตของเมืองท่าแห่งอาณาจักรโรมันที่เคยมีผู้คนอาศัยอยู่กว่า 250,000 คนแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี